วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

Phiame live in AUSTRIA: 1st story


วันที่ 3 กันยายน 2014
หลงทาง

วันนี่เป็นวันที่สองของการไปโรงเรียน แต่โรงเรียนดันพาไปทัศนศึกษา เดี๋ยวนะ? คือเพิ่งเปิดเทอมนะเธอว์ แต่ก็โชคดีมากเพราะเพื่อนที่นี่ดีมาก แบบช่วยเหลือตลอด เมื่อวานก็มีเข้ามาทักบ้าง บางคนก็ไม่ทัก คิดว่าคงจะอาย เพราะเด็กที่นี่ก็ไม่ใช่เด็กพวกไม่สนใจชาวบ้าน ยิ่งแบบห้องมีแค่ยี่สิบกว่าคน เอ่อๆๆเกริ่นเรื่องเมื่อวานเยอะ เข้าเรื่องเลย
ทัศนศึกษาวันนี้พวกเราต้องไปที่ ORF เหมือนสถานีโทรทัศน์ดังๆของออสเตรียเลย ตั้งอยู่ในเวียนนา เพื่อนๆก็นัดกันว่าไปเจอที่สถานีWestอะไรซักอย่าง ส่วนพวกบ้านใกล้โรงเรียนก็เจอที่สถานีหน้ารรนั่นแหละ เราเองก็บ้านใกล้ เพื่อนในห้องเลยบอกให้มาเจอกันที่สถานีนี้ตอนแปดโมงนะ เพราะรถไฟออก 8.11นาที(ไม่เคยตรง บอกเลย) เราก็โอเค เจอกัน
วันรุ่งขึ้น เรากับโฮสต์(พี่)นั่งรถไฟมาจากสถานีที่บ้าน เราบอกให้พี่ไปโรงเรียนเลย เพราะถ้าเขารอด้วยเดี๋ยวจะสายซะเปล่า เพราะเราแค่รอเพื่อนอยู่ที่สถานี ทีนี้เราก็ยืนรอ มีเด็กๆจนถึงวัยรุ่นรออยู่พอควร เราเข้าใจว่าคงจะไปที่เดียวกันแหละ (น้องๆที่จะไปอย่ามโนเองแบบเรา) แต่ก็คิดอยู่นะ คือเราหาเพื่อนคนนั้นไม่เจอ ที่จริงก็เห็นคนคุ้นๆหน้าแหละแต่ไม่มั่นใจว่าอยู่ห้องเดียวกัน(ฮ่วย) เราพยายามโทรหาเพื่อนคนนั้นก่อนที่รถไฟจะมา(ขอเบอร์ไว้เมื่อวาน)แต่โทรไม่ติด แล้วสิ่งที่เรากลัวก็แล่นมาพร้อมๆกับที่รถไฟจอดหน้าสถานี เราหาเพื่อนคนนั้นไม่เจอ และมันเพิ่งแปดโมงตรง เราก็คิดนะ แบบตายห่าละทำไงดี ถ้าไม่รอจะพลัดกับคนอื่นไหม หรือเขาไปแล้ว หรือเขานัดสถานีอะไร แล้วเราก็เห็นคนนึงหน้าคุ้นๆแต่เรียกแล้วก็ไม่ตอบ แต่เราก็ยังเดินตามเขาไปในรถไฟ(เออ ดีดี มองกลับไปแล้วแบบ โอยฉันโง่มาก) นั่งไปนั่งมาก็ถึงสถานีอะไรไม่รู้ เด็กวัยรุ่น(น่าจะนักเรียน)ลงเต็มเลยลงไปพร้อมกับผู้หญิงที่ทีแรกเราเข้าใจว่าเป็นเพื่อนในห้อง แต่เราคุ้นๆว่าไปเวียนนามันไม่ใช่สถานีนี้นี่ เราก็เลยเดินไปขอความช่วยเหลือจากนักเรียนหญิงสองคน(ทีแรกเข้าใจว่าอยู่รรเดียวกัน) คำถามแรกคือ "เธอๆ อยู่ห้องอะไร" นางทำหน้างงกลับมา เราเริ่มเก็ทละ ไม่น่าจะรรเดียวกันละ ก็เลยถามอีก "อยู่เกรดอะไรอ่ะ" เขาก็ตอบว่าเกรดเจ็ด เอ่อววว สุดท้าย ก็ถามว่าไปโรงเรียนใช่ไหม นางบอกใช่ รรพวกนางอยู่เวียนนา ก็อธิบายไปว่าเราคิดว่าเราหลงทางแบบเราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเพิ่งมาออสเตรียได้ไม่นาน จะไปทัศนศึกษาแต่ดันหลง แล้วสองคนนั้นแบบ ดีมาก ช่วยเต็มที่ เอาเบอร์โทรศัพท์ไปโทรให้แต่เพื่อนเราไม่รับ(เออดี) อย่างน้อยก็โทรติดนะเว้ย แหะ แล้วเราก็เพิ่งมารู้ว่าต้องกด + ก่อนเบอร์ คือโง่มานานมาก5555  เราออกสถานีเดียวกับนาง คือแทบจะโทรหาโฮสต์ละ จะบอกว่าหลงในเวียนนา ขอเที่ยวก่อนนะแล้วมารับหน่อย อะไรงี้ แต่แยกกับนักเรียนสองคนนั่นแปปเดียวนางก็วิ่งกลับมาแล้วบอกว่าเพื่อนเราโทรมา นางก็รับสายคุยให้เรียบร้อย สุดท้ายยังไงไม่รู้ นางบอกจะไปส่งเราที่รถราง(ป่ะ มันเป็นรถที่วิ่งเหมือนบัสแต่มีรางเหมือนรถไฟอ่ะ) แล้วเราก็ขึ้น รางบอกสถานีเสร็จสรรพ แค่เราไม่ลงผิดก็พอ ทีนี้พอมีเวลาอยู่บนรถก็ลองโทรหาเพื่อนอีกรอบ คราวนี้โทรติดเฟ้ยยยย เพื่อนเราบอกว่าถ้าถึงก็โทรมา พวกนางยังไม่ถึง คือทุกคนไปซับเวย์ เรามารถไฟจ้า ดีๆ
แล้วก็เจอจนได้ คือลำบากมาก อ่านๆไปอาจจะดูไม่ลำบากเท่าไหร่ แต่พอหลงเองจริงๆทั้งกลัวทั้งเครียด คือภาษาก็ไม่ค่อยเข้าใจ ติดต่อเพื่อนก็ไม่ได้ หรือจะให้โฮสต์มารับแล้วเพื่อนจะเข้าใจว่าเราหายไปหรือเปล่า แต่ก็โชคดีด้วยแหละที่ไม่ลงตามคนอื่นไป แบบยังฉันก็ต้องเข้าเวียนนาก่อนแน่ๆ
โชคดีมากจริงๆที่เจอคนช่วยตลอด ไม่งั้นคงติดแหงกอยู่ซักที่นั่นแหละ555555
คนที่นี่เขายินดีให้ความช่วยเหลือจริงๆนะ คือประทับใจจริงๆ (แต่ไม่ประทับใจความเป๋อของตัวเอง)

เย่ๆๆๆ นี่อยู่บ้านแล้ว ขนาดขากลับยังหลง ไม่เชิงหลง แต่รถไฟมันดันเปลี่ยนชานชลา เกือบขึ้นรถไฟไปเยอรมันละเนี่ย 555555

จบบันทึกเวิ่นๆวันนี้

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

แชร์เปรียบเทียบYFU & AFS ข้อเขียนและสัมภาษณ์

สวัสดีค่ะ วันนี่เราจะมาอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กที่กำลังหาโครงการแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศได้อ่านกัน เนื่องจากคนเขียนรีวิว(?)แบบนี้น้อยเหลือเกิน ทำให้เราอยากเขียนอธิบายไว้ให้รุ่นต่อๆไปได้อ่าน โดยเฉพาะคนที่กำลังตื่นเต้นก่อนวันสอบ เราเข้าใจว่ามันเป็นยังไง55555 (แบบว่าหาข้อมูลว่าปีก่อนๆสอบแบบไหน)ยังไงก็ลองอ่านกับดูนะคะ

YFU

ข้อสอบข้อเขียน: เป็นข้อสอบSLEP test ที่มีทั้งหมดสามพาร์ทแบ่งเป็น Listening Reading Writing ความยากคือไม่ยากเลย โดยเฉพาะพาร์ทการฟัง (ควรเก็บคะแนนให้มากจากพาร์ทนี้) ส่วนพาร์ทที่เหลือถือว่ายากขึ้นมาอีกนิด ศัพท์จะไม่พิสดารมาก ถ้าใครเก่งๆจะทำได้สบายๆ(หรืออย่างเราก็สมบุกสมบันพอตัว ;-;) 
ข้อสอบสัมภาษณ์: มีกรรมการหลายโต๊ะ แล้วแต่ว่าใครจะโชคดีได้ครูคนไหนสัมภาษณ์ เพื่อนที่รู้จักโดนสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่เราตอนเข้าไปโชคดี ได้สัมภาษณ์เป็นภาษาไทยหมด แค่เล่าให้เขาฟังว่าเป็นใครกำกิจกรรมอะไรบ้าง (กรรมการใจดีมากกกก เป็นครูผู้หญิงดูมีอายุ)
กิจกรรมกลุ่ม: จะมีกิจกรรมกลุ่มให้ทำ เช่นมีหนังสือพิมพ์แล้วให้ทำเป็นสินค้าเกี่ยวกับไทยๆ ให้ทุกคนร่วมเสนอข้อคิดเห็น โดยจะมีพี่ๆของโครงการจับตาดูอยู่ ถ้าเราให้ความร่วมมือกับกิจกรรมมากๆ เขาจะให้คะแนนสูง

เพิ่มเติม: ถ้าใครจะสอบประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสจะต้องสอบภาษาฝรั่งเศสด้วยนะคะ เช่น ฝรั่งเศส เบลเยี่ยมฝรั่งเศสฯลฯ เท่าที่ถามเพื่อนมา เขาเน้นเรื่องเพศของคำ(แล้วแต่ปีมั้งงง อย่าเชื่อเรามาก) 

อีกเรื่อง ตอนที่ไปสอบ เขาจะแบ่งเราออกเป็นกรุ๊ปๆ แล้วสลับกับไปห้องสอบข้อเขียน,ห้องสอบสัมภาษณ์และห้องกิจกรรมกลุ่ม เราจะต้องเดินวนสลับกัน และอุปสรรคก็คือช่วงพักกลางวัน เราไปกินข้าว พอมาอีกทีก็เลยช่วงที่เราต้องสอบสัมภาษณ์ไปแล้ว เราเลยต้องไปมั่วกับกลุ่มอื่น (_ _) การจัดการยังงงๆ แต่หักลบกับสอบไม่ยากมากก็โอเคค่ะ! 

AFS

ข้อสอบข้อเขียน: ของเอเอฟเอสข้อสอบจะยากกว่าของYFU เปิดมาก็readingเลย ถ้าจำไม่ผิด5555 แล้วก็จะมีข้อสอบวิเคราะห์แล้วตอบจากข้อมูลที่ให้เช่น ตารางรถบัส เป็นต้น ส่วนwriting partจะอยู่ท้ายๆ เหมือนข้อสอบErrorทั่วไปค่ะ ส่วนตัวอย่างข้อสอบจะได้ทันทีที่สมัครสอบ จะเป็นข้อสอบจากปีก่อน หรือถ้าอยากดูของปีอื่นๆในเน็ตมีค่ะ โดยรวมคือสอบเสร็จก็เป๋ไปเลย แต่ไม่ต้องห่วง คนส่วนใหญ่ที่สอบจะผ่านค่ะ(แม้ว่าจะยากก็เถอะ) ประมาณ5ใน7ที่ผ่าน เห็นเขาว่ากันอย่างนี้นะคะ -..-
ข้อสอบสัมภาษณ์: วันสัมภาษณ์แยกกับวันสอบข้อเขียน สัมภาษณ์มีสองส่วนคือสัมภาษณ์เดี่ยวและสัมภาษณ์กลุ่ม กลุ่ม จะให้ทำกิจกรรมร่วมกันเช่นเล่นเกมต่างๆ แต่ที่เราเจอทั้งสองปีที่เคยสอบคือทำทัวร์แนะนำชาวต่างชาติเกี่ยวกับประเทศไทยไม่ก็งานอีเวนท์เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย ควรหาข้อมูลไปเผื่อล่วงหน้า(แต่ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น) ให้พยายามมีส่วนร่วมกับกลุ่มมากๆ ส่วนสัมภาษณ์เดี่ยว เป็นการถามตอบทั่วๆไปเช่นเดียวกับวายเอฟยูคือ แล้วแต่ดวงว่าใครจะต้องฟังและตอบเป็นภาษาอังกฤษใครได้ภาษาไทย คำถามยอดฮิตคือ ทำไมถึงอยากเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศนี้ หวังอะไรจากการไปแลกเปลี่ยน ถ้าเกิดเหตุการณ์...บลาๆ...จะทำยังไง และ ทำไมโครงการถึงต้องเลือกเรา 
ส่วนพวกที่ยังไม่ได้สอบสัมภาษณ์ก็จะมีกิจกรรมเอนเตอร์เทนน้องๆจากพี่เอเอฟเอสรุ่นก่อนๆ เล่นเอาสนุกๆมันส์ๆ ~ หมายเหตุว่าสัมภาษณ์เอเอฟเอสดูเหมือนง่ายนะคะ แต่ในความคิดเรามันค่อนข้างยากเลยทีเดียว

บอกพื้นเพก่อน YFU เป็นโครงการที่แยกมาจากAFS ถ้าเอามาเปรียบเทียบกัน ก็ถือว่าดูแลเอาใจใส่ได้ทั่วถึงมากกว่า เพราะเด็กน้อยกว่า แต่เอเอฟอยู่มานานและมีชื่อเสียงมากกว่าค่ะ 
ตอนรอผลสัมภาษณ์ ทั้งวายเอฟยูและเอเอฟเอสจะมีการเป็นสำรอง ซึ่งการเป็นตัวสำรองของสองที่ก็ต่างกัน 
วายเอฟยูจะแบ่งตัวสำรองเป็นประเทศๆโดยที่เราก็สิทธิ์ที่จะเปลี่ยนได้ในกรณีที่ไม่มีใครเลือกชนกันแล้วที่ว่างไม่พอ ถ้ามีที่ว่างไม่พอ ทางโครงการจะตัดสินจากคะแนนสอบ
ส่วนเอเอฟเอส จะรวมสำรองและเรียงอันดับจากคะแนน จะมีวันที่ให้เราไปเลือกประเทศโดยค่อยๆเรียกสำรองทีละลำดับไปเลือกประเทศที่เหลือโควต้า ทำให้อันดับท้ายๆจะมีตัวเลือกน้อยลง

จบแล้วค่ะ ปฐมบทของการผลักตัวเองมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ลองสอบดูทั้งสองที่เลยนะคะ ดีทั้งคู่เลย แล้วแต่จะเลือกแล้วแต่จะชอบ ตัดสินใจกันดีๆ สู้ๆนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เข้าค่ายYFU ครั้งที่ 1

สวัสดีค่ะ เราชื่อพิม วายเอฟยูรุ่น17 ค่ะ ไปออสเตรียประเทศที่พอพูดปุ๊บทุกคนจะนึกถึง"โมสาร์ท"ทันที (อ๋ออออ กันแล้วใช้ม๊ายยย?) 

บอร์ดนี้จะมาเล่าเรื่องการไปค่ายแรกของวายเอฟยู... ที่มาเล่าเนี่ย มีเหตุจากว่า ตอนตัวเองสอบติดใหม่ๆก็เกิดอาการ'เห่อ'ค่ายขึ้นมาทันที  หาข้อมูล หาว่าเขาทำอะไรกันบ้าง พอเจอว่า อุ๊ย!มีค่ายอ่ะ ก็เลยหาข้อมูลค่ายต่อ แต่ข้อมูลบันทึกที่มาค่ายของรุ่นพี่รุ่นก่อนๆก็น้อยแสนน้อย .....ก็เลยอยากมาเขียนให้เป็นหนึ่งในบันทึกเกี่ยวกับค่ายให้น้องรุ่นต่อๆไปที่สนใจจะไปแลกเปลี่ยนกับวายเอฟยูให้ได้อ่านกัน 
ค่ายแรกที่มา ที่จริงควรจะเป็นช่วงเดือนธันวา แต่พอดี ติดม๊อบ! (เอ่อ เป็นเหตุสุดวิสัยทางการเมือง งดนะคะ งด!) ก็เลยเลื่อนไปช่วงต้นๆมกราแทน โอ้มายก้อด เราติดสอบอ่ะบอกเลย แต่ก็ต้องไปค่ะ!! ค่ายมีสามวัน ส อา จ แต่เราต้องกลับก่อนเพื่อไปสอบ โอ้ย ครายแปป ;_;
ซึ่งวันแรก เราจะมาเช้าๆเหมือนเวลาเข้าโรงเรียนเลย ประมาณ7.30-8.30เพื่อไปลงทะเบียนแล้วก็รับหนังสือคู่มือเสื้อค่าย บลาๆ แล้วพี่ๆที่วายเอฟยูก็จะเริ่มการประชุมผู้ปกครองประมาณครึ่งวัน ไอ้เราก็แบบเมื่อยก้น เพราะนั่งนานมากกกกกก เขาพูดเรื่องอะไรก็ไปรอฟังตอนไปค่ายนะคะ คือมันเป็นเรื่องที่มีสาระ ไอ้เราก็ไม่ค่อยจะมีสาระซักเท่าไหร่ก็เลยข้อข้ามรายละเอียดดีกว่า orz (ที่จริงมันจำไม่ได้) พอประชุมครึ่งวันเสร็จเรียบร้อยทางค่ายก็จะให้ผู้ปกครองกลับบ้านได้ ส่วนนักเรียนที่ต้องอยู่ที่ค่ายต่อก็ไปกินอาหารกลางวัน ไปวันแรกก็มีเพื่อนอยู่นะ แบบคุยกันในไลน์มาหลายเดือนแล้วแต่ก็ไม่ได้สนิทกันมากมาย เราก็ยังเกร็งๆ แล้วกลุ่มมันใหญ่ ทำอะไรก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ พอกินเสร็จก็ไปสอบSLEP test ที่ยังไม่รู้ เราสอบทีไรจะsleepทุกที T-T เป็นข้อสอบเหมือนกับตอนสอบคัดเลือก น่าจะฉบับเดียวกันด้วย แต่ไม่แน่ใจว่ารุ่นอื่นเขาจะเอาข้อสอบเดิมมาให้ทำหรือข้อสอบอื่นอ่ะ~ หลังจากนั้นก็ทานอาหารว่าง แบบว่าค่ายนี้กินแหลกสุดๆอุดมสมบูรณ์ 

ตัดมาที่กิจกรรม เขาจะแบ่งกลุ่มออกเป็น8สี อเมริกากับเยอรมันจะถูกหารแบ่งเป็น8กลุ่มย่อย ส่วนประเทศที่เหลือพวกแถบยุโรป เมกาใต้และเอเชียก็จะไปอยู่ตามกลุ่ม แบบประเทศหนึ่งมีห้าคนก็ไปอยู่ด้วยกันทั้งหมดเลย กิจกรรมแรกก็จะมีการให้ทายชื่อพี่สต๊าฟและก็บอกประเทศที่พี่เขาเคยไปแลกเปลี่ยนมา (จำได้ไหมให้ทาย) ถ้าใครตอบถูกก็จะได้ไข่แองกรี้เบิร์ดไป ซึ่งไอ้เจ้าไข่เนี่ย เป็นคะแนนสำหรับสีที่ตัวเองอยู่  หลังจากนั้นพี่เขาก็ใหัแต่ละกลุ่มสีรวมตัวกันทำงานกลุ่ม แบบคิดชื่อบ้าน แล้วก็วาดหน้าทุกคนลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ๆออกแบบท่าพรีเซ้นท์ อารมณ์ให้ทำความรู้จักกัน ...กลุ่มเรายังไปค่อยมีใครกล้าแสดงออกเท่าไหร่ ยังแบ๊วๆใสใสเขินๆ แต่มีกลุ่มหนึ่ง โชว์ตีลังกาเปิดการพรีเซ้น คือนางทำทุกคนตกใจ55555  แล้วก็มีถ่ายรูปหมู่ของแต่ละสี 
พอเสร็จกิจกรรมตอน17.30ก็...กิน อีกแล้ว เป็นกินข้าวเย็นที่โรงแรมนั่นแหละ ไม่หรูแต่ก็อร่อยดี
กิจกรรมต่อมาคือการฟังบรรยาย 'อยู่อย่สงไรให้ใจเป็นสุข' โดย อ.สุรสัฒน์ ชมภูพงษ์ .. ทีแรกไอ้เราก็คิดในใจว่าแบบ โหย น่าเบื่อแน่เลย เพิ่งกินข้าวเสร็จหลับชัวร์ Zzzz ปรากฏว่า  อาจารย์เล่าสนุกมาก ตลก  ฮาตลอดแถมได้ข้อคิดดีๆ (ที่จริงควรจะบอกว่าได้ข้อคิดดีๆแถมฮาด้วยต่างหาก-_-) ประมาณว่าถ้าเราคิดบวก ชีวิตเราก็จะมีความสุข เหมือนกับการมองน้ำครึ่งแก้ว คนมองลบจะคิดว่าน้ำแค่ครึ่งแก้ว จะทำอะไรได้ แล้วเขาคนนั้นก็จะไม่สนใจแก้วนั้นเลย แต่หลับกัน คนมองบวกจัคิดว่าน้ำครึ่งแก้วทำอะไรได้ตั้งเยอะ แล้วเขาก็จะเริ่มลงมือทำ อ.พูดไปถึงการวางตัวให้เป็นที่เอ็นดูต่อผู้ใหญ่หรือโฮสต์ที่เราจะไปอยู่ด้วย 
หลังจากนั้นก็มีกิจกรรมกลุ่มอีก เป็นธีมงานคริสมาสต์ (ที่ผ่านมานานแล้ว) ก็ให้เล่นเกมส์เช่นต่อไพ่ ส่งลูกโป่ง(แบบที่ให้จับเป็นคู่ๆอ่ะ) จนมาถึงเขาให้ดูวิดีโอมาดากัสก้าตอนคริสมาสต์ ก็สนุกดี55555แต่มีความสนุกย่อมมีภารกิจซึ่งก็คือให้ตอบคำถามพวกรายละเอียดเล็กๆในหนัง อย่างกับแฟนพันธุ์แท้ =_=; เช่น นกเพนกวิ้นหมุนตัวกี่รอบ ,ริโอพูดว้าคาบูมกี่ครั้ง เป็นต้น 
จนมาถึงตอนเลิกกิจกรรมประมาณสามทุ่มกว่า ก็มีมาม่ากับขนมมื้อดึกให้อีก (โอ้ยยย อ้วนมากบอกเลย) คือใครจะกินก็กินใครไม่กินก็ขึ้นห้อง โดยจะไปห้องใครที่ไหนก็ตามใจแต่เคอร์ฟิวส์ไม่เกินห้าทุ่ม 
ส่วนวันสุดท้ายเราไม่อยู่ อย่างที่บอกไปข้างบนแล้ว เสียดายเล็กน้อย555 ทำให้ไม่รู้ว่าเขาทำอะไนกันไปบ้าง
สุดท้าย YFU รุ่น18  (2015-16) เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 19มิถุนา2557นะคะ ดูรายละเอียดได้ที่เว็ยไซต์YFUThailandค่ะ ;) 
ภาพจากค่าย2